มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก Mark Zuckerberg (อังกฤษ) | |
---|---|
ซักเคอร์เบิร์กที่งาน 37th G8 summit ในปี ค.ศ. 2011 | |
เกิด | มาร์ค เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 [1] ไวต์เพลนส์, รัฐนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา |
ถิ่นพำนัก | แพโลอัลโต, รัฐแคลิฟอเนีย,สหรัฐอเมริกา[2] |
ประเทศที่เป็นพลเมือง | สหรัฐอเมริกา |
ชาติพันธุ์ | ชาวยิว |
โรงเรียน | มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (ลาออก) |
อาชีพ | ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร/ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเฟซบุ๊ก (ถือหุ้น 24% ในปี 2010)[3] |
รู้จักในสถานะ | ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊กในปี ค.ศ.2004; กลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลกเป็นของปี ค.ศ.2008[4] |
มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ | ▼ 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2012)[5] |
ศาสนา | อศาสนา[6] |
คู่สมรส | พริสซิลลา ชาน (2012 - ปัจจุบัน) |
ญาติ | แรนดี, ดอนนาและแอเรียล (พี่สาว) |
รางวัล | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ค.ศ.2010 |
เว็บไซต์ | |
facebook.com/zuck |
มาร์ก เอลเลียต ซักเคอร์เบิร์ก (อังกฤษ: Mark Elliot Zuckerberg) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เขาร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊กร่วมกับเพื่อนอีก 4 คน ขณะกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นิตยสารไทม์ ได้ให้เขาเป็นบุคคลแห่งปีค.ศ. 2010 [7]
เนื้อหา[ซ่อน] |
ชีวิตส่วนตัว[แก้]
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเกิดที่ ไวต์เพลนส์ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาเติบโตที่เมืองด็อบส์ เฟอร์รี รัฐนิวยอร์ก โดยบิดาเป็นทันตแพทย์ คือ เอ็ดเวิร์ด ซักเคอร์เบิร์ก และมารดาจิตแพทย์ คือ คาเรน ซักเคอร์เบิร์ก เขามีพี่น้องสี่คน ในวัยเด็กซักเคอร์เบิร์กถูกเลี้ยงดูอย่างชาวยิว ถึงแม้เขาอธิบายว่าเขาเป็นอเทวนิยม[8]
ที่โรงเรียนอาร์ดสลีย์ไฮสคูล เขาได้มีความสามารถด้านการศึกษาคลาสสิก ก่อนที่เขาจะย้ายไปเรียนระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ที่นี่ซักเคอร์เบิร์กได้รับรางวัลทางวิทยาศาสตร์ (คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และฟิสิกส์) และศึกษาด้านศิลปะคลาสสิก เขายังเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเขาสามารถอ่าน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาฮิบรู ภาษาละติน และภาษากรีกโบราณ เขายังเป็นกัปตันทีมฟันดาบ[9][10][11]
ในงานสังสรรค์ในช่วงชั้นปีที่ 2 ซักเคอร์เบิร์กพบกับพริสซิลลา ชาน ที่ต่อมาเป็นเพื่อนหญิงของเขา[2] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2010 ชานซึ่งศึกษาแพทย์ ได้ย้ายมาอยู่บ้านเช่าของซักเคอร์เบิร์กในแพโลอัลโต[2]
ซักเคอร์เบิร์กสามารถมองเห็นสีฟ้าได้ดีที่สุด เพราะเขาเป็นโรคตาบอดสีซึ่งมองสีแดงและสีเขียวได้ไม่ชัดเจน นอกจากนี้สีฟ้ายังเป็นสีหลักในเว็บไซต์เฟซบุ๊กอีกด้วย[12]
พัฒนาซอฟต์แวร์[แก้]
ช่วงแรก[แก้]
ซักเคอร์เบิร์ก ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการเขียนซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กในชั้นประถมปลาย พ่อเขาสอนให้ใช้โปรแกรมพื้นฐานของอาตาริในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 และต่อมายังจ้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ชื่อ เดวิด นิวแมน มาสอนเป็นการส่วนตัว นิวแมนเรียกเขาว่า "เด็กอัจฉริยะ" และกล่าวต่อว่า "ยากที่จะล้ำหน้าเกินเขา" ซักเกอร์เบิร์กยังเรียนคอร์สที่วิทยาลัยเมอร์ซี ใกล้กับบ้านของเขาขณะที่เรียนระดับไฮสคูลอยู่[2] เขามีความสนุกกับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องมือด้านการสื่อสารและเกม ตัวอย่างเช่น มีโปรแกรมหนึ่ง ซึ่งพ่อของเขาที่เป็นทันตแพทย์ เขาสร้างโปรแกรมที่ชื่อ "ซักเน็ต" ที่จะให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารได้ระหว่างบ้านกับสำนักงานทันตแพทย์ โดยใช้ระบบปิงหากัน ถือว่าเป็นเมสเซนเจอร์รุ่นดึกดำบรรพ์ของเอโอแอล ซึ่งออกมาภายหลัง[2]
ในช่วงระหว่างเรียนไฮสคูล ภายใต้การทำงานกับบริษัท อินเทลลิเจนต์มีเดียกรุ๊ป เขาได้สร้างโปรแกรมเล่นดนตรีที่เรียกว่า ไซแนปส์มีเดียเพลเยอร์ (Synapse Media Player) ใช้ปัญญาประดิษฐ์เรียนรู้พฤติกรรมการฟังเพลงของผู้ใช้ โดยได้โพสต์ลงที่ สแลชด็อต[13] ได้รับคะแนน 3 เต็ม 5 จาก พีซีแม็กกาซีน[14] ไมโครซอฟท์และเอโอแอลพยายามจะซื้อไซแนมป์และรับซักเคอร์เบิร์กเข้าทำงาน แต่เขาเลือกที่จะสมัครเรียนที่ฮาวาร์ดในเดือนกันยายน ค.ศ. 2002
ฮาวาร์ด[แก้]
ในช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่ฮาวาร์ด เขามีกิตติศัพท์ด้านความอัจฉริยะในการเขียนโปรแกรมแล้ว เขาศึกษาด้าน วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และจิตวิทยา และเป็นสมาชิก อัลฟาเอปซิลอนไพ สมาคมยิวในมหาวิทยาลัย[2][15] พอเรียนชั้นปีที่ 2 เขาสร้างโปรแกรมจากห้องพักของเขาที่ชื่อ "คอร์สแมตช์" ที่ให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจเรื่องการเลือกเรียนวิชา จากการตัดสินใจของนักเรียนคนอื่น และยังช่วยให้พวกเขาร่วมก่อกลุ่มการเรียน ต่อจากนั้นไม่นาน เขาสร้างโปรแกรมที่แตกต่างกันไปเรียนว่า "เฟซแมช" ที่ให้ผู้ใช้เลือกหน้าผู้ใช้ที่หน้าตาดีที่สุดในบรรดารูปที่ให้มา เพื่อนร่วมห้องของเขาเวลานั้นที่ชื่อ อารี ฮาซิต กล่าวว่า "เขาสร้างเว็บไซต์นี้เพื่อความสนุก"
"เรามีหนังสือ ที่เรียกว่า เฟซบุ๊กส์ ที่รวบรวมรายชื่อและภาพของทุกคนที่อยู่ในหอพัก ในตอนแรกเขาสร้างเว็บไซต์ที่ วางรูป 2 รูป หรือรูปของผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน ผู้เยี่ยมเยือนเว็บไซต์จะเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน และรวบรวมจัดอันดับเป็นผลโหวต"[16]
เว็บไซต์เปิดในช่วงวันหยุด แต่พอถึงเช้าวันจันทร์ เว็บไซต์ก็ถูกปิดโดยมหาวิทยาลัย เว็บไซต์ได้รับความนิยมในช่วงเวลาอันสั้น จนทำให้เซิร์ฟเวอร์ของฮาวาร์ดล่ม นักศึกษาจะถูกห้ามใช้เข้าเว็บไซต์ นอกจากนั้นมีนักศึกษาหลายคนร้องเรียนเรื่องภาพที่ใช้ไม่ได้รับอนุญาต เขาออกขอโทษต่อสาธารณะ หนังสือพิมพ์นักเรียนจะพาดหัวเกี่ยวกับเว็บไซต์ของเขาว่า "ไม่เหมาะสม"
อย่างไรก็ตาม นักเรียนก็ได้เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยพัฒนาเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูล รายชื่อ รวมถึงรูป ในส่วนหนึ่งของเครือข่ายมหาวิทยาลัย ฮาซิตเพื่อนร่วมห้องเขากล่าวว่า "มาร์กได้ยินคำร้องเหล่านี้และตัดสินใจว่า ถ้ามหาวิทยาลัยจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม เขาก็จะสร้างเว็บไซต์ที่ดีกว่าที่มหาวิทยาลัยจะทำ"[16]
เฟซบุ๊ก[แก้]
- ดูบทความหลักที่ เฟซบุ๊ก
ก่อตั้งและเป้าหมาย[แก้]
ซักเคอร์เบิร์กได้เปิดตัวเฟซบุ๊ก จากในห้องพักของเขาในมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 [17][18] แรงบันดาลใจแรก ๆ ของเฟซบุ๊กอาจมาจากที่โรงเรียนฟิลิปส์เอกเซกเตอร์อคาเดมี ที่เขาเรียนจบปี ค.ศ. 2002 โดยที่เผยในเว็บไซต์ของเขาคือ สารบัญรูปนักศึกษาของเขา ที่นักศึกษาหมายถึง "เดอะเฟซบุ๊ก" มีสารบัญภาพ ที่มีภาพนักศึกษาทำกิจกรรมในหลาย ๆ โรงเรียน โดยนักศึกษาสามารถเข้ามาให้ข้อมูล อย่างเช่น ชั้นปีที่ศึกษา เพื่อนใกล้ชิด หมายเลขโทรศัพท์[17]
โดยในขณะนั้น เฟซบุ๊ก เริ่มต้นเพียงแค่ "Harvard thing" จนกระทั่งซักเคอร์เบิร์กตัดสินใจที่จะกระจายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นๆได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมห้อง ดัสติน มอสโควิตซ์ โดยเริ่มจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยดาร์ตมัธ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก มหาวิทยาลัยคอร์เนล มหาวิทยาลัยบราวน์และมหาวิทยาลัยเยล จากนั้นก็เข้าสู่โรงเรียนอื่น ที่มีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด[19][20][21]
ซักเคอร์เบิร์กได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองแพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย กับมอสโควิตซ์และเพื่อนบางส่วน พวกเขาดัดแปลงบ้านเช่าเป็นสำนักงาน ในฤดูร้อนนั้น ซักเคอร์เบิร์กได้พบกับปีเตอร์ ทีล ที่ได้ให้ทุนกับบริษัท พวกเขาเริ่มก่อตั้งบริษัทแรกในกลางปี 2004 พวกเขาได้ปฏิเสธการเสนอขายเฟซบุ๊กกับบริษัทใหญ่ ๆ โดยในบทสัมภาษณ์ในปี 2007 ซักเคอร์เบิร์กอธิบายไว้ว่า
เขาพูดในนิตยสารไวร์ ในปี 2010 ว่า "สิ่งที่ผมใส่ใจมากเกี่ยวกับภารกิจนี้ ก็คือทำให้โลกเปิดกว้างขึ้น" ก่อนหน้านั้นในเดือนเมษายน 2009 ซักเคอร์เบิร์กได้สอบถามคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูงด้านการเงินของเน็ตสเคป ปีเตอร์ เคอร์รี เกี่ยวกับยุทธวิธีสำหรับเฟซบุ๊ก[22]
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 ซักเคอร์เบิร์กรายงานว่า บริษัทมีผู้ใช้ 500 ล้านบัญชีรายชื่อ[23] และเมื่อถามว่า เฟซบุ๊ก จะสามารถทำเงิน หรือสร้างปรากฏการณ์เพิ่มขึ้น เขาอธิบายว่า:
ผมคิดว่า เราสามารถ... ถ้าคุณดูว่าโฆษณาที่มีในแต่ละหน้ากินไปขนาดไหน เมื่อเปรียบเทียบกับการค้นหาข้อมูล ของเรามีน้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อหน้าและยอดการค้นหาปกติจะมีโฆษณาราวร้อยละ 20 ... นี่เป็นสิ่งง่ายที่ทุกคนจะทำ แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น เราทำเงินให้พอที่เราจะดำเนินงานได้ เติบโตในอัตราที่เราต้องการ
ในปี 2010 สตีเฟน เลวี ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Hackers: Heroes of the Computer Revolution ในปี ค.ศ. 1984 ได้เขียนเกี่ยวกับซักเคอร์เบิร์กไว้ว่า "เห็นชัดว่าเขาคิดว่าตัวเองเป็นแฮ็กเกอร์"[24] ซักเคอร์เบิร์กพูดว่า "มันโอเคที่จะสร้างสิ่งใหม่...ทำให้มันดียิ่งขึ้น"[24][25] เฟซบุ๊กเริ่มให้มี "แฮ็กคาธอน" ในทุก ๆ 6 ถึง 8 อาทิตย์ เปิดโอกาส 1 คืนให้ร่วมคิดและจบโครงการ 1 โครง[24] โดยบริษัทให้จัดหาเพลง อาหารและเบียร์ สำหรับงานแฮกคาธอน และจะมีเจ้าหน้าที่ของเฟซบุ๊ก รวมถึงซักเคอร์เบิร์ก เข้าร่วมด้วย[25] "แนวคิดคือคุณสามารถสร้างบางสิ่งให้ดีได้ใน 1 คืน" ซักเคอร์เบิร์กบอกเลวี "และเป็นบุคลิกของเฟซบุ๊กในปัจจุบัน...ซึ่งก็คือนิสัยส่วนตัวของผมด้วย"[24]
ในปี นิตยสาร วานิตีแฟร์ ได้ให้ซักเคอร์เบิร์กติดอันดับ 1 ในปี 2010 ของรายชื่อ "100 อันดับ บุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดในยุคข้อมูล"[26] ในปี 2010 ยังติดอันดับ 16 ของการสำรวจประจำปีของ นิวสเตตส์เม็น ในหัวข้อ "บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก 50 อันดับ"[27]
การพูดถึงในสื่อ[แก้]
เดอะโซเชียลเน็ตเวิร์ก[แก้]
- ดูบทความหลักที่ เดอะโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากชีวิตจริงของซักเคอร์เบิร์ก ในปีเริ่มก่อตั้งเฟซบุ๊กเรื่อง The Social Network ออกฉายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2010 นำแสดงโดยเจสซี ไอเซนเบิร์ก แสดงเป็นซักเคอร์เบิร์ หลังจากที่ชีวิตเขาปรากฏบนจอภาพยนตร์ เขาตอบรับว่า "ผมหวังว่าจะไม่มีใครสร้างหนังเกี่ยวกับผมขณะที่ผมยังมีชีวิตอยู่"[28] และเมื่อบทภาพยนตร์หลุดมาทางอินเทอร์เน็ต และนักแสดงนำไม่ใช่ตัวซักเคอร์เบิร์กในด้านบวก เขาก็ออกมาพูดว่า เขาต้องการให้เสนอตัวเขาในแบบ "คนดี"[29]
ภาพยนตร์ The Social Network ซึ่งอิงมาจากหนังสือเรื่อง The Accidental Billionaires โดยเบน เมซริช ซึ่งมีการประชาสัมพันธ์ไว้ว่า "สนุก น่าสนใจ มาก" มากกว่าการเป็น "รายงาน"[30] ผู้เขียนบทภาพยนตร์ แอรอน ซอร์คิน บอกกับนิตยสารนิวอยร์กว่า "ผมไม่ต้องการความถูกต้องแม่นยำ ผมต้องการเล่าเรื่อง"[31] จากบทในหนังของซอร์คิน ที่บรรยายว่าซักเคอร์เบิร์กสร้างเฟซบุ๊กขึ้นมาเพราะต้องการยกระดับชื่อเสียงของตนเพราะไม่สามารถเข้าไฟนอลคลับของฮาร์วาร์ด อย่างไรก็ตามซักเคอร์เบิร์กเล่าให้กับ The New Yorker ว่าเขาไม่เคยมีความสนใจที่จะเข้าไฟนอลคลับ[2]
สื่ออื่น[แก้]
ซักเคอร์เบิร์กในพากย์เสียงเป็นตัวเขาเองในตอนของ The Simpsons ชื่อตอน "Loan-a Lisa" ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2010 เป็นตอนเกี่ยวกับลิซา ซิมป์สันและเพื่อของเธอที่ชื่อเนลสันได้พบกับซักเคอร์เบิร์กที่งานชุมนุมนักธุรกิจ ซักเคอร์เบิร์กบอกกับลิซาว่า เขาไม่ต้องการเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเพื่อประสบความสำเร็จแบบรีบเร่ง อย่าง บิล เกตส์ และริชาร์ด แบรนสัน เป็นต้น[32]
ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2010 รายการ Saturday Night Live ได้ล้อเลียนซักเคอร์เบิร์กและเฟซบุ๊ก[33] โดยแอนดี แซมเบิร์กแสดงเป็นซักเคอร์เบิร์ก ซึ่งซักเคอร์เบิร์กเขียนลงในเฟซบุ๊กของตัวเขาเองเกี่ยวกับตอนนี้ว่า "ผมเป็นแฟนตัวจริงของแอนดี แซมเบิร์ก และผมคิดว่ามันสนุก"[34]
ในการเดินทางมายังประเทศไทยเป็นการส่วนตัว เพื่อร่วมงานมงคลสมรสระหว่างนายคริสโตเฟอร์ คอกซ์ รองประธานกรรมการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของเฟซบุ๊ก กับ นางสาววิศรา วิจิตรวาทการ ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระชาวไทย และบุตรสาวของผู้บริหารล็อกซ์เลย์ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553 [35][36] ได้รับความสนใจจากผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และสื่อมวลชนไทยอย่างมาก[37] แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีสื่อมวลชนรายใดได้รับการสัมภาษณ์ มีเพียงได้แค่ภาพและวิดีโอที่ปรากฏเท่านั้น
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Pilkington, Ed (March 10, 2011). "Forbes rich list: Facebook six stake their claims". The Guardian (UK). สืบค้นเมื่อ March 30, 2011.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 Vargas, Jose Antonio (September 20, 2010). "The Face of Facebook". The New Yorker. สืบค้นเมื่อ 2010-09-22.
- ↑ David Kirkpatrick. The Facebook Effect. p. 322.
- ↑ Kroll, Luisa, ed. (March 5, 2008). In Pictures: Youngest Billionaires: Mark Zuckerberg, U.S.: Age 23: $1.5 billion, self-made. Forbes.
- ↑ Mark Zuckerberg Forbes.com. Retrieved September 2012.
- ↑ "Mark Zuckerberg". Nndb.com. สืบค้นเมื่อ May 11, 2011.
- ↑ "TIME Names Mark Zuckerberg Person of the Year".
- ↑ Boggan, Steve (2010-05-21). "The Billionaire Facebook Founder making a fortune from your secrets (though you probably don't know he's doing it)". Mail Online. สืบค้นเมื่อ 2010-08-30.
- ↑ McDevitt, Caitlin (2010-03-05). "What We Learned About Mark Zuckerberg This Week".The Big Money. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
- ↑ Grynbaum, Michael M. "Mark E. Zuckerberg '06: The whiz behind thefacebook.com", The Harvard Crimson. June 10, 2004. Retrieved on August 29, 2010
- ↑ Kirkpatrick, David (2010). The Facebook Effect: The Inside Story of the Company That Is Connecting the World. New York, New York: Simon & Schuster. pp. 20–21. ISBN 978-1-4391-0211-4. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
- ↑ Sutter, John D. "Why Facebook is blue -- six facts about Mark Zuckerberg." CNN. September 20, 2010. Retrieved on October 26, 2010.
- ↑ Hemos/Dan Moore (April 21, 2003). "Machine Learning and MP3s". Slashdot. สืบค้นเมื่อ September 3, 2010.
- ↑ Troy Dreier (February 8, 2005). "Synapse Media Player Review". PCMag.com. สืบค้นเมื่อ September 3, 2010.
- ↑ http://www.facebook.com/press/info.php?execbios
- ↑ 16.0 16.1 "Facebook founder's roommate recounts creation of Internet giant", Haaretz,Oct. 5, 2009
- ↑ 17.0 17.1 "Did Mark Zuckerberg's Inspiration for Facebook Come Before Harvard?".ReadWriteWeb. May 10, 2009. สืบค้นเมื่อ October 9, 2010.
- ↑ "Face-to-Face with Mark Zuckerberg '02" Phillips Exeter Academy website, January 24, 2007
- ↑ Chris Holt (March 10, 2004). "Thefacebook.com's darker side". The Stanford Daily.
- ↑ "Online network created by Harvard students flourishes". Tufts Daily. สืบค้นเมื่อ 2009-08-21.
- ↑ "Thefacebook.com opens to Duke students — News". Duke Chronicle. สืบค้นเมื่อ 2009-08-21.[ลิงก์เสีย]
- ↑ "Yu, Zuckerberg and the Facebook fallout". Reuters. April 1, 2009. สืบค้นเมื่อ 2010-10-15. "In a back-to-the-future move, former Netscape CFO Peter Currie will be the key adviser to Facebook about financial matters, until a new search for a CFO is found, sources said."
- ↑ http://blog.facebook.com/blog.php?post=409753352130
- ↑ 24.0 24.1 24.2 24.3 Levy, Steven (April 19, 2010). "Geek Power: Steven Levy Revisits Tech Titans, Hackers, Idealists". Wired. สืบค้นเมื่อ 2010-09-23.
- ↑ 25.0 25.1 McGirt, Ellen (February 17, 2010). "The World's Most Innovative Companies 2010". Fast Company. สืบค้นเมื่อ 2010-09-24.
- ↑ "The Vanity Fair 100". Vanity Fair. October 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-09-23.
- ↑ "Mark Zuckerberg - 50 People who matter 2010". New Statesman. สืบค้นเมื่อ 27 September 2010.
- ↑ Fried, Ina (June 2, 2010). "Zuckerberg in the hot seat at D8". CNET. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
- ↑ Harlow, John (2010-05-16). "Movie depicts seamy life of Facebook boss". The Times Online (London). สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ Cieply, Michael and Helft, Miguel (August 20, 2010). "Facebook Feels Unfriendly Toward Film It Inspired". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2010-09-22.
- ↑ Harris, Mark (September 17, 2010). "Inventing Facebook". New York. สืบค้นเมื่อ 2010-09-22.
- ↑ "Facebook Creator Mark Zuckerberg to Get Yellow on The Simpsons". New York. July 21, 2010. สืบค้นเมื่อ 2010-09-22.
- ↑ Brandon Griggs (October 11, 2010). "Facebook, Zuckerberg spoofed on 'SNL'". CNN. สืบค้นเมื่อ October 11, 2010.
- ↑ Mark Zuckerberg liked Andy Samberg's 'SNL' spoof
- ↑ 'ซัคเกอร์เบิร์ก'ร่วมพิธีแต่งงานในไทย คม ชัด ลึก
- ↑ Facebook founder 'spotted in Bangkok pub' The Nation
- ↑ Mark Zuckerberg ร่วมงานแต่งงานลูกน้องในเมืองไทย
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่น ๆ เกี่ยวกับ: Mark Zuckerberg |
- มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่เฟซบุ๊ก
- ชีวประวัติ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่ อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- งานโดยหรือเกี่ยวกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในห้องสมุดต่างๆ ในแคตาลอกของ WorldCat
- รายการเอกสาร
- Mark Zuckerberg's patents at ip.com
- การสัมภาษณ์
- Video of interview, Leslie Stahl, Sixty Minutes
- Video of Interview, Rick Stengel, Time Magazine December 2010
สมัยก่อนหน้า | มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก | สมัยถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
เบ็น เบอร์นานคี | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (พ.ศ. 2553) | ผู้ประท้วง |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น